รูปแบบขององค์กรธุรกิจ
รูปแบบขององค์กรธุรกิจที่ดำเนินอยู่ในวงการธุรกิจของประเทศไทย จำแนกรูปแบบได้ดังต่อไปนี้
1. กิจการเจ้าของคนเดียว
2. ห้างหุ้นส่วน
แยกออกเป็น
2.1 ห้างหุ้นส่วนสามัญ
2.2 ห้างหุ้นส่วนจำกัด
3. บริษัทจำกัด
4. การสหกรณ์
แบ่งเป็น 6 ประเภท
4.1 สหกรณ์การเกษตร
4.2 สหกรณ์ประมง
4.3 สหกรณ์นิคม
4.4 สหกรณ์ร้านค้า
4.5 สหกรณ์ออมทรัพย์
4.6 สหกรณ์บริการ
5. รัฐวิสาหกิจรูปแบบขององค์กรธุรกิจ
องค์กรธุรกิจตามกฎหมายไทยในปัจจุบันอาจแบ่งรูปแบบได้เป็น
2 ประเภท คือ
1. รูปแบบองค์กรที่ไม่เป็นนิติบุคคล
กิจการเจ้าของคนเดียว
(Sole Proprietorship) คือ การ
ที่บุคคลหนึ่งนำสินทรัพย์ของตนมาลงทุนในกิจการเพื่อหากำไร
โดยจะดำเนินการบริหารงานต่าง ๆ และรับผิดชอบดำเนินงานทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว การบริหารงานและความรับผิดชอบ
ผู้เป็นเจ้าของจะมีสิทธิในการบริหารงานอย่างเต็มที่ และรับผิดชอบงานในทุก ๆ ด้าน
รวมถึงผลการดำเนินงานของกิจการโดยไม่จำกัด แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น
สินทรัพย์ส่วนตัวจะไม่แยกจากสินทรัพย์ของกิจการ
การเลิกกิจการ
มีสาเหตุดังต่อไปนี้
1 เจ้าของไม่ประสงค์จะดำเนินการต่อ
2 โอน – ขายต่อให้ผู้อื่น
3 เจ้าของตาย
4 ศาลสั่งเลิกกิจการ
·
ข้อดี –
ข้อเสีย ของกิจการเจ้าของคนเดียว
·
ข้อดีของธุรกิจเจ้าของคนเดียว
1. การจัดตั้งง่าย
จะเลิกกิจการก็ทำได้สะดวก และไม่จำเป็นต้องแสดงงบกำไรขาดทุนหรืองบดุลต่อประชาชน
2. การบริหารงานเป็นอิสระ
มีความคล่องตัว
3. ได้รับผลกำไรเพียงคนเดียว
4. รักษาความลับของกิจการได้
·
ข้อเสียของธุรกิจเจ้าของคนเดียว
1. ทุนมีจำกัด
2. ต้องเป็นธุรกิจขนาดเล็ก
จึงจะดำเนินการได้มีประสิทธิภาพ
3. การบริหารกระทำโดยบุคคลเดียว
อาจผิดพลาดได้
4. เจ้าของต้องรับผิดชอบหนึ้สินโดยไม่จำกัดจำนวน
5. อายุของกิจการจำกัดเท่ากับอายุของเจ้าของเท่านั้น
2. ห้างหุ้นส่วน (Partnership) คือ ธุรกิจซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป
สัญญาตกลงร่วมทุนกันกระทำกิจกรรมร่วมกัน
โดยมีความประสงค์จะแบ่งกำไรจากการประกอบกิจการที่ได้ร่วมกันนั้น
·
การบริหาร
ห้างหุ้นส่วนเป็นการร่วมทุนของหลาย ๆ คน ทุกคนมีสิทธิในการออกเสียงในการดำเนินการ
โดย 1 คน ถือเป็น 1
เสียง
·
หน้าที่ของผู้เป็นหุ้นส่วน
1.
หุ้นส่วนทุกคนถือเป็นตัวแทนร่วมกัน
รับผิดชอบร่วมกัน
2.
หากมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เป็นหุ้นส่วน
ต้องได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนเดิมทุกคนก่อน
3.
ผู้เป็นหุ้นส่วนจะประกอบกิจการที่มีลักษณะเดียวกับห้างหุ้นส่วนไม่ได้
ยกเว้นได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน
4.
ผลของการดำเนินงานไม่ว่าจะขาดทุนหรือกำไร
ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน
·
ความรับผิดชอบ
ความรับผิดชอบของผู้เป็นหุ้นส่วน ต้องพิจารณาตามประเภท คือ
1.
ห้างหุ้นส่วนสามัญ
คือ ห้างหุ้นส่วนที่ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนร่วมกันรับผิดชอบใน
หนี้สินโดยไม่จำกัดจำนวน ห้างหุ้นส่วนสามัญแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.
ห้างหุ้นส่วนสามัญ
คือ ห้างหุ้นส่วนที่มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ดังนั้น สินทรัพย์ส่วนตัวกับสินทรัพย์ของธุรกิจจึงไม่แยกจากกัน
เมื่อมีหนี้สินเกิดขึ้น เจ้าหนี้จะฟ้องร้องหุ้นส่วนคนใดก็ได้
และต้องรับผิดชอบในจำนวนหนี้สินโดยไม่จำกัดจำนวน
2.
ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
( เป็นนิติบุคคล )
2.
ห้างหุ้นส่วนจำกัด
( เป็นนิติบุคคล )
2. รูปแบบองค์กรธุรกิจที่เป็นนิติบุคคล
1.
ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล คือ ห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
ดังนั้น สินทรัพย์ส่วนตัวของผู้เป็นหุ้นส่วน กับสินทรัพย์ของกิจการจะแยกกัน
2.
ห้างหุ้นส่วนจำกัด
แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.
หุ้นส่วนจำกัดความรับผิดชอบ
คือ หุ้นส่วนซึ่งจำกัดความรับผิดชอบในหนี้สินของธุรกิจไม่จำเกินจำนวนเงินทุนที่
สัญญาว่าจะนำมาลงทุนในหุ้นส่วนนั้น
·
สิทธิทั่วไปของผู้เป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด
1.
สิทธิในการสอบถามกิจการงาน
ตรวจสอบสมุดบัญชีเอกสารของห้างได้บ้างตามสมควร
2.
สิทธิในการขายแข่งกับห้างได้
3.
สิทธิในการออกความเห็น
แนะนำ เลือก หรือถอดถอนผู้จัดการ โดยหุ้นส่วน 1 คน มีเสียงเป็น 1 เสียงเท่ากัน
โดยถึงเงินลงทุนว่ามากหรือน้อยเท่าใด
·
สิทธิที่ถูกจำกัด
1.
เอาชื่อตนไปตั้งเป็นชื่อห้างไม่ได้
2.
จะต้องลงทุนด้วยเงิน
หรือสินทรัพย์อย่างอื่น ลงทุนด้วยแรงงานไม่ได้
3.
ไม่ได้รับเงินปันผล
หรือดอกเบี้ย จนกว่าห้างจะได้กำไร
4.
ไม่มีสิทธิเข้าไปจัดการงานของห้าง
2. หุ้นส่วนชนิดไม่จำกัดความรับผิดชอบ
คือ หุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคนที่ต้องรับผิดชอบชดใช้หนี้สินของธุรกิจโดยไม่จำกัด
* * ซึ่งกฎหมายกำหนดว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดจะต้องมีหุ้นส่วนชนิดไม่จำกัดความรับผิดชอบอย่างน้อย 1 คน จึงจะสามารถดำเนินกิจการได้ * *
* * ซึ่งกฎหมายกำหนดว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดจะต้องมีหุ้นส่วนชนิดไม่จำกัดความรับผิดชอบอย่างน้อย 1 คน จึงจะสามารถดำเนินกิจการได้ * *
·
สิทธิของผู้เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดชอบ
·
สิทธิในสินทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนร่วมกับหุ้นส่วนอื่น
·
สิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งผลกำไรและแบ่งสินทรัพย์เมื่อเลิกห้าง
·
สิทธิในการจัดการงาน
และการควบคุมดูแลกิจการของห้าง
·
ข้อดี – ข้อเสีย ของห้างหุ้นส่วน
·
ข้อดีของห้างหุ้นส่วน
0.
การก่อตั้งง่าย
1.
หาทุนได้มากกว่าธุรกิจเจ้าของคนเดียว
2.
มีการรวมความสามารถ
3.
มีการกระจายความเสี่ยงในการรับผิดชอบในหนี้สินต่าง
ๆ
·
ข้อเสียของห้างหุ้นส่วน
0.
อายุของกิจการไม่ยั่งยืน
1.
เกิดความขัดแย้งกันได้ง่าย
2.
หากหุ้นส่วนคนใดไม่สุจริต
หรือประมาท อาจทำความเสียหายให้กับกิจการและผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นได
3.
หุ้นส่วนประเภทรับผิดชอบหนี้สินโดยไม่จำกัดจำนวน
หากดำเนินกิจการผิดพลาดอาจสูญเสียสินทรัพย์ส่วนตัวได้
3. บริษัทจำกัด (Private
Companies) หรือ บริษัทเอกชน
คือ บริษัทประเภทซึ่งด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้น มีมูลค่าหุ้นเท่า ๆ กัน
โดยผู้ถือหุ้นต่างรับผิดชอบจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบ
ตามมูลค่าของหุ้นที่ตนถือเท่านั้น
·
หลักเกณฑ์ที่สำคัญ
1.
ตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้น
แต่ละหุ้นมีมูลค่าเท่า ๆ กัน
2.
มูลค่าขั้นต่ำของหุ้นตามกฎหมายต้องไม่น้อยกว่า
5 บาท
3.
มีผู้ถือหุ้นขั้นต่ำ
7 คน
4. บริษัทมหาชน จำกัด หมายถึง
บริษัทประเภทซึ่งตั้งขึ้นด้วยความประสงค์ ที่จะเสนอ ขายหุ้นต่อประชาชน
โดยผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัด ไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ต้องชำระ
·
หลักเกณฑ์ที่สำคัญ
1.
แบ่งทุนออกเป็นหุ้น
มูลค่าหุ้นละเท่า ๆ กัน และต้องชำระค่าหุ้นครั้งเดียวเต็มมูลค่าหุ้น
2.
ผู้ถือหุ้นขั้นต่ำ
15 คน
3.
ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเสมอ
4.
ต้องมีจำนวนกรรมการของบริษัทไม่น้อยกว่า
5 คน
และกรรมการไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งต้องมีอยู่ในประเทศไทย
ลักษณะและรูปแบบการขยายตัวของธุรกิจ
มี 2 ลักษณะ คือ
1.
การเจริญเติบโตจากภายนอก
( Internal Expansion ) การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆนั้นมาจากส่วนของเจ้าของเป็นหลัก เช่น
1.
นำเงินสะสมของกิจการมาใช้ขยายกิจการ
2.
ออกหุ้น เช่น
หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ์ หุ้นกู้
3.
กู้ยืมจากธนาคาร
หรือ สถาบันการเงิน
·
ข้อจำกัด
ในเรื่องปริมาณเงิน คือ ไม่สามารถหาเม็ดเงินลงทุนได้เพียงพอ
การเจริญเติบโตจากภายนอก
( External Expension ) เป็นการขยายตัวโดยการที่บริษัทไปรวมตัวกับบริษัทอื่น โดยมีวิธีการดังนี้
0.
การเข้าไปซื้อสินทรัพย์ทั้งหมดของกิจการที่ต้องการครอบครอง
1.
การเข้าไปซื้อหุ้นของกิจการที่ต้องการครอบครอง
รูปแบบของการครอบครองกิจการ
4 ประเภท
1.Consolidation หรือ
Amalgamation คือ
การรวมกิจการตั้งแต่ 2 กิจการขึ้นไป ให้เป็นกิจการเดียว
เกิดเป็นบริษัทใหม่ ชื่อใหม่ ออกหุ้นใหม่
2. Merger คือ การรวมกิจการของบริษัทตั้งแต่ 2 บริษัทขึ้นไป ให้เป็นกิจการเดียว
แต่ภายหลังจากการรวมแล้วมิได้เกิดบริษัมใหม่แต่จะเหลือบริษัทเพียงบริษัท
เดียวเท่านั้น
3. Acquisitionคือ การซื้อกิจการของบริษัทอื่น
อาจจะซื้อสินทรัพย์อย่างเดียวหรือซื้อทั้งหนี้สินด้วย
หรือเป็นการเข้าไปซื้อหุ้นสามัญให้มากพอที่จะมีสิทธิ์เข้าไปบริหารกิจการของ
อีกบริษัทได้ ที่เรียกว่า Takeover
ข้อแตกต่างระหว่าง
Merger และ Acquisition
Merger
1.
ต้องรับเอาทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดของบริษัทอื่นมารวมเป็นบริษัทเดียว
2.
ต้องซื้อหุ้นทั้งหมดของอีกบริษัท
3.
เกิดจากความสมัครใจของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ
Acquisition
1.
อาจจะซื้อสินทรัพย์อย่างเดียวหรือบางส่วน
ก็ได้ส่วนหนี้สินอาจจะรับหรือไม่รับก็ได้
2.
ไม่ต้องซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทก็ได้
3.
อาจเกิดจากการบังคับซื้อโดยผู้ขายไม่สมัครใจก็ได้
4. Takeover คือ
การเข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทอื่นให้มีจำนวนเพียงพอที่จะเข้าไปบริหารกิจการ
ของบริษัทนั้นที่เรียกว่า “ การเข้าครอบงำกิจการ ” อาจจะเข้าครอบงำกิจการอย่างเป็นมิตร ( friendly takeover ) หรืออาจจะเป็นการเข้าครอบงำกิจการอย่างไม่เป็นมิตร ( unfriendly
takeover )
รูปแบบขององค์กรธุรกิจ บริษัท หรือ
ห้างหุ้นส่วน? แบบไหนดี ?
รูปแบบองค์กรธุรกิจ
การประกอบธุรกิจการค้าอาจดำเนินการได้หลายรูปแบบ ทั้งโดยบุคคลคนเดียวเป็นเจ้าของกิจการโดยลำพัง หรืออาจดำเนินการโดยร่วมลงทุนกับบุคคลอื่นเป็นกลุ่มคณะก็ได้ การที่จะตัดสินใจเลือกดำเนินธุรกิจการค้าในรูปแบบใดนั้น ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบที่สำคัญหลายประการด้วยกัน เช่น ลักษณะของกิจการค้า เงินทุน ความรู้ความสามารถในการดำเนินธุรกิจเป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การประกอบธุรกิจนั้นประสบผลสำเร็จ นำมาซึ่งผลประโยชน์และกำไรสูงสุด มีรูปแบบการเริ่มต้นทำธุรกิจดังนี้ ธุรกิจประกอบการในนามบุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัด ซึ่งแต่ละรูปแบนั้นมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ดังนั้นก่อนการเริ่มต้นธุรกิจ เจ้าของธุรกิจควรตัดสินใจว่า ควรจะจัดตั้งธุรกิจแบบใดจึงจะเหมาะสมกับธุรกิจของท่าน เพื่อให้กิจการมีต้นทุนต่ำและมีกำไรสูงสุด ดังนี้
การประกอบธุรกิจการค้าอาจดำเนินการได้หลายรูปแบบ ทั้งโดยบุคคลคนเดียวเป็นเจ้าของกิจการโดยลำพัง หรืออาจดำเนินการโดยร่วมลงทุนกับบุคคลอื่นเป็นกลุ่มคณะก็ได้ การที่จะตัดสินใจเลือกดำเนินธุรกิจการค้าในรูปแบบใดนั้น ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบที่สำคัญหลายประการด้วยกัน เช่น ลักษณะของกิจการค้า เงินทุน ความรู้ความสามารถในการดำเนินธุรกิจเป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การประกอบธุรกิจนั้นประสบผลสำเร็จ นำมาซึ่งผลประโยชน์และกำไรสูงสุด มีรูปแบบการเริ่มต้นทำธุรกิจดังนี้ ธุรกิจประกอบการในนามบุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัด ซึ่งแต่ละรูปแบนั้นมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ดังนั้นก่อนการเริ่มต้นธุรกิจ เจ้าของธุรกิจควรตัดสินใจว่า ควรจะจัดตั้งธุรกิจแบบใดจึงจะเหมาะสมกับธุรกิจของท่าน เพื่อให้กิจการมีต้นทุนต่ำและมีกำไรสูงสุด ดังนี้
1. ธุรกิจบุคคลธรรมดา เป็นเจ้าของกิจการเพียงคนเดียว ไม่ได้ร่วมลงทุนกับบุคคลอื่น
ทำให้มีอิสระในการดำเนินงานและการตัดสินใจได้อย่างเต็มที่
ผลกำไรที่เกิดขึ้นก็ไม่ต้องแบ่งให้ใคร
แต่เจ้าของธุรกิจจะต้องรับผิดชอบในหนี้สินของกิจการที่เกิดขึ้นไม่จำกัดจำนวน
การจัดทำบัญชีและเสียภาษี ข้อดีของธุรกิจบุคคลธรรมดาคือไม่ต้องยุ่งยากในการจัดทำบัญชี สามารถเสียภาษีตามวิธีหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาหรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง เสียภาษีในอัตราก้าวหน้าตามฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เริ่มจาก 0% - 37%
การจัดทำบัญชีและเสียภาษี ข้อดีของธุรกิจบุคคลธรรมดาคือไม่ต้องยุ่งยากในการจัดทำบัญชี สามารถเสียภาษีตามวิธีหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาหรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง เสียภาษีในอัตราก้าวหน้าตามฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เริ่มจาก 0% - 37%
2. ธุรกิจประเภท
ห้างหุ้นส่วน ลักษณะของห้างหุ้นส่วน
มาตรา 1012 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่า
"อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคล ตั้งแต่สองคนขึ้นไป
ตกลงเข้ากัน
เพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น"
ดังนั้นตามกฎหมายห้างหุ้นส่วนจะต้องมีลักษณะสำคัญดังนี้
1. บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป เข้ามาเป็นหุ้นส่วน จะนำทุนมาเข้าหุ้นกันมากน้อยเท่าใดก็ได้ 2. ตกลงเข้ากัน คือ บุคคลที่จะเข้าร่วมประกอบกิจการได้ทำสัญญาตกลงกันว่าจะประกอบการค้าร่วมกัน การตกลงกันนั้น จะต้องมีการแสดง เจตนาโดยแจ้งชัด อาจจะทำเป็นสัญญาปากเปล่า หรือ ลายลักษณ์อักษร ก็ได้ว่าจะเข้าเป็น "ห้างหุ้นส่วน" ทุนที่จะนำมาลง ได้แก่ เงินสด ทรัพย์สินอย่างอื่น หรือ แรงงาน คือ ใช้กำลัง สติปัญญา ความคิดแรงกายแทน 3. เพื่อการทำกิจกรรมร่วมกัน คือคู่สัญญา จะต้องมาร่วมแรงรวมใจและร่วมทุกข์กันเพื่อทำการตามที่ได้ตกลงไว้ 4. เพื่อประสงค์กำไร คือ เป็นการตกลงใจทำงาน โดยมีจุดหมายปลายทางเพื่อผลกำไร อันได้เกิดจากกิจการที่ทำนั้น และผลกำไรจะได้นำมาแบ่งกัน ระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน แต่ถ้ากิจการไม่หวังผลกำไร กิจการนั้นไม่ถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วน
ดังนั้นตามกฎหมายห้างหุ้นส่วนจะต้องมีลักษณะสำคัญดังนี้
1. บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป เข้ามาเป็นหุ้นส่วน จะนำทุนมาเข้าหุ้นกันมากน้อยเท่าใดก็ได้ 2. ตกลงเข้ากัน คือ บุคคลที่จะเข้าร่วมประกอบกิจการได้ทำสัญญาตกลงกันว่าจะประกอบการค้าร่วมกัน การตกลงกันนั้น จะต้องมีการแสดง เจตนาโดยแจ้งชัด อาจจะทำเป็นสัญญาปากเปล่า หรือ ลายลักษณ์อักษร ก็ได้ว่าจะเข้าเป็น "ห้างหุ้นส่วน" ทุนที่จะนำมาลง ได้แก่ เงินสด ทรัพย์สินอย่างอื่น หรือ แรงงาน คือ ใช้กำลัง สติปัญญา ความคิดแรงกายแทน 3. เพื่อการทำกิจกรรมร่วมกัน คือคู่สัญญา จะต้องมาร่วมแรงรวมใจและร่วมทุกข์กันเพื่อทำการตามที่ได้ตกลงไว้ 4. เพื่อประสงค์กำไร คือ เป็นการตกลงใจทำงาน โดยมีจุดหมายปลายทางเพื่อผลกำไร อันได้เกิดจากกิจการที่ทำนั้น และผลกำไรจะได้นำมาแบ่งกัน ระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน แต่ถ้ากิจการไม่หวังผลกำไร กิจการนั้นไม่ถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วน
ห้างหุ้นส่วนแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.ห้างหุ้นส่วนสามัญ (ไม่จดทะเบียน)
2.ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (จดทะเบียน)
3.ห้างหุ้นส่วนจำกัด
1.ห้างหุ้นส่วนสามัญ (ไม่จดทะเบียน)
2.ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (จดทะเบียน)
3.ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ห้างหุ้นส่วนสามัญ(ไม่จดทะเบียน)
+เป็นการตกลงทำกิจการร่วมกันและแบ่งกำไรกันระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วน
หุ้นส่วนทุกคนจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในหนี้สินของกิจการโดยไม่จำกัดจำนวน
ซึ่งห้างหุ้นส่วนชนิดนี้กฏหมายไม่ได้บังคับให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
จึงเสมือนมีสภาพเป็นคณะบุคคล ซึ่งหากเลือกจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจะเรียกว่า
"ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล" ซึ่งความรับผิดในหนี้ของหุ้นส่วน
จะจำกัดเพียง 2 ปี
นับตั้งแต่วันที่ออกจากการเป็นหุ้นส่วนเท่านั้น
และส่วนใหญ่ไม่เป็นที่นิยมจดทะเบียนกัน
+การจัดทำบัญชีและเสียภาษี
การจัดทำบัญชีและเสียภาษี ไม่ต้องยุ่งยากในการจัดทำบัญชี เหมือนกรณีบุคคลธรรมดา
แต่การเสียภาษีเงินได้ของคณะบุคคลจะเสียภาษีเงินได้เหมือนกับบุคคลธรรมดาที่แยกออกจากตัวบุคคล
ถือเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งตามมาตรา 56 วรรค(2) ของประมวลรัษฏากร
นอกจากนี้เงินส่วนแบ่งกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ด้วย
ห้างหุ้นส่วนสามัญ
(จดทะเบียน)
+การจัดตั้งห้างหุ้นส่วนชนิดนี้
เมื่อได้จดทะเบียนนิติบุคคลตามกฏหมาย กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
การจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจะเรียกว่า "ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล"
ซึ่งความรับผิดในหนี้ของหุ้นส่วน จะจำกัดเพียง 2 ปี
นับตั้งแต่วันที่ออกจากการเป็นหุ้นส่วนเท่านั้น และส่วนใหญ่ไม่เป็นที่นิยมจดทะเบียนกัน
+ การจัดทำบัญชีและเสียภาษี
มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีเหมือนกรณีตั้งบริษัท
และเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ
ห้างหุ้นส่วนจำกัด
+การประกอบการในลักษณะนี้จะต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย
และต้องใส่คำว่า "ห้างหุ้นส่วนจำกัด" ไว้หน้าชื่อห้างเสมอไปด้วย เช่น
ห้างหุ้นส่วนจำกัดสินไทย โดยต้องมีผู้เป็นหุ้นส่วน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และต้องประกอบด้วยหุ้นส่วนอยู่ 2 ประเภทคือ
1. ประเภทจำกัดความรับผิดชอบ จำกัดรับผิดชอบในหนี้สินที่เกิดขึ้น ไม่มีสิทธิเป็นผู้จัดการ
2. ประเภทไม่จำกัดความรับผิดชอบ การไม่จำกัดความรับผิดชอบ หมายถึง ไม่จำกัดหนี้สินที่เกิดขึ้นทุกกรณีของห้างหุ้นส่วนและมีสิทธิที่เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯ
+การเบิกจ่ายเงินกับธนาคารของห้างฯ ก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างหุ้นส่วนกันเองแล้วไปแจ้งกับธนาคาร ไม่เกี่ยวกับการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน
ข้อดีของห้างหุ้นส่วนจำกัด
1. รวบรวมเงินทุน ความรู้ความสามารถจากผู้เป็นหุ้นส่วนได้มากขึ้น
2. ผู้มีเงินทุนยินดีจะลงทุนร่วมด้วย โดยเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด ทำให้พ้นภาระรับผิดชอบในหนี้สินแบบลูกหนี้ร่วม
3. สามารถจะระดมบุคคลที่มีความเชียวชาญในสาขาใด ๆ มาเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดได้
4. ได้รับความเชื่อถือจากบุคคลภายนอกมากขึ้น
5. เสียภาษีเงินได้แบบนิติบุคคล
6. เป็นที่นิยมจดทะเบียน
ข้อเสียของห้างหุ้นส่วนจำกัด
1. การจัดตั้งมีความยุ่งยากมากขึ้น
2. หุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดชอบ ต้องรับภาระหนี้สินไม่จำกัดจำนวน
3. เมื่อมีผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดตาย ล้มละลาย หรือลาออก ห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้องเลิกกิจการและชำระบัญชีให้เรียบร้อย
การจัดทำบัญชีและเสียภาษี มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีเหมือนกรณีตั้งบริษัท และเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ
3. บริษัทจำกัด การจัดตั้งกิจการจะต้องมีผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 3 คน (ตามกฎหมายใหม่ เมื่อก่อนต้องมีผู้ก่อการและผู้ถือหุ้นอย่างน้อยเจ็ดคน) โดยการแบ่งเงินลงทุนออกเป็นหุ้น มีมูลค่าหุ้นละเท่าๆกัน ผู้ถือหุ้นจำกัดความรับผิดไม่เกินจำนวนค่าหุ้นที่ยังส่งไม่ครบ ดำเนินโดยคณะกรรมการบริษัท ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากกว่า
การจัดทำบัญชีและเสียภาษี มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชี และเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ
1. ประเภทจำกัดความรับผิดชอบ จำกัดรับผิดชอบในหนี้สินที่เกิดขึ้น ไม่มีสิทธิเป็นผู้จัดการ
2. ประเภทไม่จำกัดความรับผิดชอบ การไม่จำกัดความรับผิดชอบ หมายถึง ไม่จำกัดหนี้สินที่เกิดขึ้นทุกกรณีของห้างหุ้นส่วนและมีสิทธิที่เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯ
+การเบิกจ่ายเงินกับธนาคารของห้างฯ ก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างหุ้นส่วนกันเองแล้วไปแจ้งกับธนาคาร ไม่เกี่ยวกับการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน
ข้อดีของห้างหุ้นส่วนจำกัด
1. รวบรวมเงินทุน ความรู้ความสามารถจากผู้เป็นหุ้นส่วนได้มากขึ้น
2. ผู้มีเงินทุนยินดีจะลงทุนร่วมด้วย โดยเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด ทำให้พ้นภาระรับผิดชอบในหนี้สินแบบลูกหนี้ร่วม
3. สามารถจะระดมบุคคลที่มีความเชียวชาญในสาขาใด ๆ มาเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดได้
4. ได้รับความเชื่อถือจากบุคคลภายนอกมากขึ้น
5. เสียภาษีเงินได้แบบนิติบุคคล
6. เป็นที่นิยมจดทะเบียน
ข้อเสียของห้างหุ้นส่วนจำกัด
1. การจัดตั้งมีความยุ่งยากมากขึ้น
2. หุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดชอบ ต้องรับภาระหนี้สินไม่จำกัดจำนวน
3. เมื่อมีผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดตาย ล้มละลาย หรือลาออก ห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้องเลิกกิจการและชำระบัญชีให้เรียบร้อย
การจัดทำบัญชีและเสียภาษี มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีเหมือนกรณีตั้งบริษัท และเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ
3. บริษัทจำกัด การจัดตั้งกิจการจะต้องมีผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 3 คน (ตามกฎหมายใหม่ เมื่อก่อนต้องมีผู้ก่อการและผู้ถือหุ้นอย่างน้อยเจ็ดคน) โดยการแบ่งเงินลงทุนออกเป็นหุ้น มีมูลค่าหุ้นละเท่าๆกัน ผู้ถือหุ้นจำกัดความรับผิดไม่เกินจำนวนค่าหุ้นที่ยังส่งไม่ครบ ดำเนินโดยคณะกรรมการบริษัท ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากกว่า
การจัดทำบัญชีและเสียภาษี มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชี และเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น