2.2 จิตวิทยาการจัดการองค์การอุตสาหกรรม
จิตวิทยาการจัดองค์กรอุตสาหกรรมได้รับความนิยมเป็นที่ยอมรับในวงการ
อุตสาหกรรมในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาของภาคอุตสาหกรรมของประเทศ
มีผลมาจากการนำจิตวิทยาการจัดองค์กรอุตสาหกรรมมาใช้ทั้งสิ้น การให้ความรู้ทางจิตวิทยาจัดองค์กรอุตสาหกรรมที่เหมาะสมทันสมัย
จะทำให้บุคลากรขององค์การสามารถผลิตสินค้าได้ดีมีคุณภาพตามที่องค์กรและลูกค้าต้องการ
1. บทบาทของจิตวิทยาการจัดองค์กรอุตสาหกรรม
ในสหรัฐอเมริกา
นักจิตวิทยาสาขาต่าง ๆ
รวมทั้งนักจิตวิทยาอุตสาหกรรมองค์กรได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากหน่วยงานต่าง ๆ
ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสาธารณชน ในฐานะที่เป็นมือวิชาชีพ (Professional)
ที่มีบทบาทสำคัญต่อสังคมทุกๆ ด้านในองค์กรอุตสาหกรรมหรือ หน่วยงานของรัฐจะมีตำแหน่งนักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์กรโดยเฉพาะเนื่องจากกฎหมายและข้อ
บังคับเกี่ยวกับการจ้างงานของสหรัฐอเมริกาได้ห้ามมิให้นายจ้างกีดกันผู้สมัครงานหรือผู้ทำงานด้วยการปฏิเสธการจ้างงานหรือการเลื่อนตำแหน่งเนื่องมาจากการแบ่งสีผิว เชื้อชาติ
เพศ ศาสนา ฯลฯ ดังนั้น นายจ้างจึงมีภาระที่จะต้องพิสูจน์ (Burden of Proof) ความเหมาะสมของเครื่องมือต่าง ๆ
ที่ใช้ในการประเมินบุคลากร
ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ได้ดี คือ
นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์กรนั่นเอง
นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีความรู้
ความสามารถ เหมาะสมที่จะทำงานด้านอื่น ๆ
อีกหลายด้านให้กับองค์กร สามารถสรุปบทบาทและภาวะหน้าที่ของนักจิตวิทยาอุตสาหกรรมองค์การได้ดังนี้
1) การคัดเลือกและการจัดการบุคลากร (Personnel
Selection and Placement)
1.1 การพัฒนาโครงการสำหรับการคัดเลือกบุคลากร
1.2
การจัดการบุคลากรสำหรับตำแหน่งงานต่าง ๆ อย่างเหมาะสมที่สุด
1.3
การสำรวจระบุศักยภาพเชิงการจัดการของบุคลากร
2) การพัฒนาองค์กร
(Organizational Development)
2.1 การวิเคราะห์โครงสร้างองค์กร
2.2 การเพิ่มระดับความพึงพอใจและประสิทธิภาพของบุคคลในหน่วยการทำงานถึงระดับสูง
2.3 การช่วยเหลือสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงองค์กร
3) การฝึกอบรมและการพัฒนา
(Training and Development)
3.1 การระบุความต้องการตามความจำเป็นในการฝึกอบรมและพัฒนา
3.2 การพัฒนาการจัดโครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะเทคนิคการจัดการ
และการบังคับบัญชา
3.3 การประเมินผลประสิทธิภาพของโครงการฝึกอบรมและพัฒนา โดยใช้เกณฑ์การเพิ่มผลผลิต (Productivity) และความพึงพอใจ
4) การวิจัยบุคลากร
(Personnel Research)
4.1 การพัฒนาเครื่องมือทดสอบสำหรับการคัดเลือก
การจัดวาง การจำแนก
และการเลื่อนตำแหน่งของบุคลากร
4.2 การทดสอบความแม่นตรงของเครื่องมือต่าง
ๆ
4.3 การวิเคราะห์งาน
5) การพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงาน
(Quality of Work Life Development)
5.1 การเพิ่มพูนผลผลิตของพนักงานแต่ละบุคคล
5.2 การตรวจระบุปัจจัยซึ่งมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการทำงาน
5.3 การออกแบบงานใหม่เพื่อเป็นงานที่ดีมีความเหมาะสมกับบุคคลมากขึ้น
6) จิตวิทยาผู้บริโภค
(Consumer Psychology)
6.1 การประเมินความชอบ
- ไม่ชอบ ของผู้บริโภค
6.2 การสำรวจปฏิกิริยาของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าใหม่
6.3 การพัฒนากลยุทธ์การตลาด
7)
จิตวิทยาวิศวกรรม (Engineering Psychology)
7.1 การออกแบบสภาพแวดล้อมในการทำงาน
7.2 การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานกับเครื่องจักรของบุคลากร
7.3 การพัฒนาเทคโนโลยีด้านระบบและการบังคับบัญชา
บทบาทของจิตวิทยาอุตสาหกรรมกับการบริหารการเปลี่ยนแปลงในฐานะของ
“Change Agent” ในองค์การ คือ ต้องพยายามทำให้ทุกคนในองค์การสามารถรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างเต็มใจ
มีส่วนร่วมและเป็นแนวร่วมที่เห็นถึงความสำคัญประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง
เป็นแนวร่วมผลักดันให้เกิดความเข้าใจพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
โดยไม่เกิดความเครียดซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของบุคคลหรือเกิดการต่อต้านและกลายเป็นปัญหาในองค์การต่อไป
การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติและเกิดขึ้นอยู่ทุกวันความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่การเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ในองค์การอุตสาหกรรมหรือบริษัทต่าง ๆ นั้น ความเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นจากสาเหตุต่าง
ๆ ดังนี้
1) ธรรมชาติของคน พบว่า ในหลายองค์กรปัจจุบันมีลักษณะของวัฒนธรรมข้ามชาติ คือ
มีหลากหลายชาติมารวมกันอยู่จะทำให้คนที่ทำงานอยู่ในองค์การนั้น
ต้องปรับตัวเข้าหากัน เพศที่ต่างกัน อายุที่แตกต่างกัน ทักษะที่แตกต่างกัน
ล้วนทำให้องค์กรต้องคอยปรับเปลี่ยนนโยบายต่าง
ๆ ตลอดเวลาเพื่อสามารถดึงดูดและรักษากลุ่มพนักงานที่มีความแตกต่างกันให้สามารถทำงานร่วมกันในองค์กรได้อย่างมีความสุข
2)
เทคโนโลยีใหม่
การมีอุปกรณ์ใหม่
มีระบบคอมพิวเตอร์ใหม่
มีระบบการทำงานใหม่ ๆ เช่น การนำระบบ Reengineering มาใช้ในการทำงานส่งผลให้สายการควบคุมบังคับบัญชาในองค์การ มีลักษณะกว้างขึ้นและสั้นลง
ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานการจัดการฝึกอบรม
เพื่อยกระดับความสามารถของพนักงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีเหล่านั้น
3) สภาพเศรษฐกิจ ภาวะตกต่ำในตลาดหุ้น อัตราดอกเบี้ยและค่าเงินตราต่างประเทศ ที่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตลอดเวลาส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
เช่น สถาบันการเงินต่าง ๆ ในประเทศที่ปิดตัวลง มีการปลดพนักงานจำนวนมาก
หรือการซบเซาของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
อันเนื่องจากความล้มเหลวทางการเงิน
4) คู่แข่งขัน จะพบว่าคู่แข่งขันในธุรกิจได้เปลี่ยนไปการแข่งขันปัจจุบันเป็นการแข่งขันในตลาดโลกคู่แข่งขันบางรายมีการรวมธุรกิจเข้าด้วยกันกลายเป็นบริษัทที่มีศักยภาพสูงขึ้นตลาดการแข่งขันที่สูงขึ้นหมายถึงจำเป็นจะต้องพัฒนาตลอดเวลาพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ
เพื่อต่อสู่กับคู่แข่งขันได้อย่างทันท่วงที
พนักงานต้องมีความยืดหยุ่น และสามารถตอบสนองต่อสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็ว
5) แนวโน้มทางสังคม
เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กลยุทธ์ทางธุรกิจเปลี่ยนไปพบว่า คนในสังคมปัจจุบันจะแต่งงานช้าลง คนโสดมีมากขึ้น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดและรูปแบบของบ้านที่จะผลิตออกมาสู่ตลาดต้องมุ่งตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้
การที่คนอยู่คนเดียวมากขึ้นทำให้ขนาดของผลิตภัณฑ์
เครื่องมือเครื่องใช้ในบ้านต้องมีขนาดที่เหมาะสมกับการอยู่คนเดียว
เห็นได้ชัดจากหม้อหุงข้าวขนาดเล็ก ๆ
6) ระบบการเมืองในโลก การล่มสลายของโซเวียต การทำลายกำแพงเบอลิน และการรวมตัวกันอีกครั้งของเยอรมัน การที่อิรักบุกคูเวต
การเปิดประเทศของจีน สงครามในอิรัก ส่งผลต่อการทำธุรกิจในตลาดโลกทั้งสิ้น เห็นได้จากการที่โรงงานหลายแห่งที่ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยของเราต้องปิดตัวลง เพราะตลาดแรงงานที่ประเทศจีนมีราคาต่ำกว่า
ส่งผลให้เกิดภาวะการณ์ว่างงานในประเทศไทย
2. ความต้องการและการประยุกต์ใช้จิตวิทยาการจัดองค์กรอุตสาหกรรม
องค์การต่าง ๆ
ตั้งขึ้นมาก็เพื่อวัตถุประสงค์ต่างกัน
เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม มีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน คือ
เพื่อผลิตสินค้าหรือการบริการเพื่อผลกำไร
ดังนั้นองค์การธุรกิจอุตสาหกรรมจึงต้องมีการปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและการบริการอยู่ตลอดเวลา
เพื่อสนองความต้องการของผู้ใช้และผู้บริโภค
ต้องมีการปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและการบริการอยู่ตลอดเวลาเพื่อสนองความต้องการของผู้ใช้และผู้บริโภค และการที่จะทำอย่างนี้ได้ องค์การจะต้องคำนึงถึงปัญหาและอุปสรรคทางจิตวิทยาที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับองค์กร
คือ
1) ปัญหาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ สมัยก่อนองค์การธุรกิจอุตสาหกรรมส่วนมากจะมีขนาดเล็ก
การสื่อสารภายในองค์กรระหว่างผู้บริหารกับคนงานไม่ค่อยมีปัญหามากนัก ปัจจุบันองค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมมีขนาดใหญ่ขึ้น
บางองค์การได้ขยายออกไปตามเมืองใหญ่ ๆ
หรือมีสาขาในต่างประเทศ เช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) บริษัท
เจริญโภคภัณฑ์ จำกัด องค์กร เหล่านี้มีพนักงานเป็นจำนวนมากเป็นพันคนขึ้นไปจนถึงหลายพันคน ปัญหาย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
เพราะความสลับซับซ้อนขององค์กรนั่นเองจึงทำให้องค์กรจะต้องจัดระบบโครงสร้างและมีขอบข่ายการสั่งงานอย่างเป็นระบบอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบจะต้องกำหนดแน่นอน
องค์กรเช่นนี้จึงเป็นองค์กรที่ขาดระบบมิได้เป็นไปตามที่คนงานใช้หลักมนุษยสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โครงสร้างขององค์กรไม่ว่าจะมีรูปแบบอย่างไรก็ตาม
ในทางจิตวิทยาแล้วจะมีปัญหาคล้ายคลึงกัน แต่ความพึงพอใจในงานของคนงานจะไม่มีความแน่นอน เพราะความพึงพอใจจะมีตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย
เช่น โครงสร้างขององค์กร นโยบายการบริหารงาน
การสื่อสาร ถ้าองค์กรมีโครงสร้างแบบงานหลักและงานที่ปรึกษา (Line
and Staff Organization) เป็นองค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะมีผู้บริหาร 2 แบบ คือ แบบสายงาน (Line) และฝ่ายบุคคล (Staff) ก็จะทำให้ความคิดของผู้บริหารทั้ง 2 เกี่ยวกับการสรรหาบุคลากรเพื่อรับการบรรจุเข้าทำงาน ผู้บริหารด้านบุคลากรอาจจะเกิดความไม่พึงพอใจในการทำงาน
เพราะเขาไม่สามารถจะใช้อำนาจในการตัดสินใจได้ว่าจะบรรจุใครเข้าทำงาน
ในทางปฏิบัติผู้บริหารในสายงานจะมีอำนาจในการตัดสินใจ ขณะเดียวกันผู้บริหาร
ในสายงานก็ต้องการคำแนะนำจากฝ่ายบุคคล เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายมีความคิดเห็นตรงกัน ฝ่ายบุคคลก็จะยอมรับอำนาจการตัดสินใจของฝ่ายสายงานว่าถูกต้องแล้ว
ถ้าทั้งสองฝ่ายมีความคิดเห็นไม่ตรงกันและฝ่ายสายงานบรรจุคนที่ฝ่ายบุคคลไม่เห็นด้วย
ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งและความไม่พอใจก็จะเกิดขึ้นได้
2) ปัญหาสายงานความรับผิดชอบในองค์กรทุกองค์กร
จะมีสายงานความรับผิดชอบและในงานแต่ละหน้าที่ ไม่ควรใช้คนรับผิดชอบมากเกินไปหรือให้ทุกคนมีหน้าที่รายงานต่อผู้บริหาร
เพราะถ้ามากเกินไปจะทำให้เกิดความสับสนและยุ่งยากต่อการบริหารงาน
เช่น องค์การใหญ่ ๆ อาจจะมีนักจิตวิทยาอุตสาหกรรมทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบุคลากร (Human Factors Specialist)
ทำวิจัยเกี่ยวกับผู้บริโภค (Consumer Researcher) หรือมีนักจิตวิทยาให้คำปรึกษาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ระดับคนงานในองค์กร
ถ้าเป็นองค์การขนาดกลางผู้บริหารจะทำหน้าที่ควบคุมหรือกำกับดูแลเกี่ยวกับการพัฒนาผลผลิต การจัดจำหน่ายแทนที่จะมีบุคคลอื่นเป็นผู้ควบคุม
3) ปัญหาโครงสร้างองค์กร โครงสร้างองค์การไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ตามจะมีปัญหาทั้งสิ้นถ้าหากองค์กรขาดการประสานงานที่ดี ถ้าเป็นองค์การขนาดกลางและใหญ่ จะมีปัญหามาก กว่าองค์กรขนาดเล็ก
เพราะองค์กรขนาดกลางและใหญ่จะขาดการยืดหยุ่น (Flexibility)ในการบริหารงานอย่างมาก
จะต้องทำตามกฎระเบียบที่วางไว้ เมื่อเกิดปัญหา ผู้ควบคุมงานในระดับต่าง
ๆ ไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้ตรงกับความต้องการของผู้บริหารระดับสูงได้ เนื่องจากองค์กรไม่มีความยืดหยุ่นหรือมีก็ไม่เพียงพอ
เช่น การขาดแคลนวัสดุ เครื่องจักรชำรุดหรือปัญหาการจัดจำหน่าย
ซึ่งเกิดจากคน (Human) ทั้งสิ้น เป็นปัญหาทางจิตวิทยาองค์กรสมัยใหม่
พยายามนำเอาการวิเคราะห์ระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบบการควบคุมติดต่อสื่อสาร ตลอดจนการทำงานโดยอัตโนมัติ
(Automation)
มาช่วยในการดำเนินกิจการต่าง ๆ
ในองค์การเพื่อนำมาใช้ในการควบคุม และแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเกี่ยวกับแรงงานมนุษย์
4) ปัญหาขนาดขององค์กร เมื่อพิจารณาถึงขนาดขององค์กร องค์กรจะมีปัญหาแตกต่างกัน
เช่น องค์กรขนาดใหญ่จะมีความล่าช้าในการตัดสินใจ
ปัญหาความพึงพอใจ ปัญหาการใช้อำนาจในการสั่งการ เพราะองค์กรขนาดใหญ่จะมีคนงานมากนั่นเอง
หรือบางครั้งการผลิตและผลกำไรขององค์กรขนาดใหญ่จะต่ำกว่าองค์กรขนาดเล็ก หรือคนงานในองค์กรขนาดเล็กจะมีความพึงพอใจมากกว่าองค์กรขนาดใหญ่เพราะคนงานรู้จักกันและกัน
5) ปัญหาระหว่างความต้องการของผู้บริหาร และความต้องการของคนงาน
ความต้องการระหว่างผู้บริหารและความต้องการของคนงานที่มีความแตกต่างกัน ก็จะทำให้องค์กรขาดดุลยภาพ
6)
ปัญหาการคัดเลือกฝึกอบรมและการบรรจุพนักงาน นักจิตวิทยาจะต้องพิจารณาดูว่าองค์กรอุตสาหกรรมควรจะมีอะไรบ้างในปัจจุบันและอนาคต เพื่อจะช่วยแก้ไขปัญหาอันเกิดจากความขัดแย้งระหว่างบุคคลในองค์กร ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาอาจจะต้องใช้จิตวิทยาบุคคลและจิตวิทยาวิศวกรรมมาใช้ในการจัดการทรัพยากรบุคคล
เช่น การคัดเลือก การฝึกอบรมและการบรรจุพนักงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อองค์การจะได้เป็นองค์การที่มีประสิทธิภาพในอนาคต
7) ปัญหาการประสานงานระหว่างแผนกต่าง
ๆ ในองค์การ องค์กรอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะแบ่งงานและจัดสายงานตามลักษณะงาน ดังนั้น การประสานงานของกลุ่มต่าง ๆ
ในงานอุตสาหกรรมจึงเป็นปัญหาทางจิตวิทยาเพราะหน่วยงานต่าง ๆ
เป็นที่รวมของคนงานและคนงานแต่ละคนมีเจตคติ การศึกษา ความรู้
ความสนใจ ความถนัด
อาจจะเหมือนกันหรือแตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาระหว่างคนงานทั้งสิ้นจะกลายเป็นปัญหาขององค์การต่อไป
เพราะฉะนั้นผู้บริหารควรหาเทคนิควิธีที่จะทำให้คนงานในองค์การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
8) ปัญหาความอยู่รอดขององค์กร องค์กรอยู่รอดหรือไม่นั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือการจัดระบบการสรรหาบุคคล การสรรหาทรัพยากร
การสรรหาตลาด การสรรหาลูกค้าให้ถูกต้อง และเหมาะสมตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่หรือนำความคิดใหม่
ๆ มาใช้ในการปรับปรุงการผลิตเพราะสิ่งต่าง ๆ
เหล่านี้เป็นหลักการทางจิตวิทยาทั้งสิ้นที่จะทำให้องค์กรอยู่รอดได้
9) ปัญหาการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ ถ้าองค์การได้นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อการผลิตสินค้าหรือปรับปรุงงาน องค์กรมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกอบรมงานเพื่อให้คนงานสามารถทำงานกับเครื่องจักรใหม่ ๆ
ได้ ซึ่งเป็นหลักทางจิตวิทยาที่จะทำให้คนงานได้พัฒนาตนเองในด้านความรู้และความสามารถที่จะทำงานในองค์กรนั้น
ๆ ต่อไป
ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นปัญหาทางจิตวิทยาที่องค์กรต่าง
ๆ จำเป็นจะต้องให้ความสนใจและหาทางแก้ไขเพื่อที่จะทำให้คนงานมีขวัญกำลังใจ มีความพึงพอใจ
มีความมั่นคงในการทำงาน มีความก้าวหน้าในการทำงานหรือมีทัศนคติที่ดีต่อองค์กร
ฯลฯ เพราะถ้าคนงานเกิดทัศนคติที่ดีต่อองค์กรแล้วก็จะทำให้องค์การบรรลุวัตถุประสงค์ได้ คน (People)
จึงนับว่าเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญและเป็นศูนย์กลางของการบริหารเพราะการบริหารงานใด
ๆ จะบรรลุ วัตถุประสงค์ได้นั้น ย่อมต้องอาศัยคนเป็นผู้กระทำการต้องเข้าใจถึงลักษณะความรู้สึก
ความต้องการและการประสานงาน จึงนับว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้การบริหารองค์กรเป็นไปโดยราบรื่น คนในฐานะที่เป็นปัจจัยในการบริหารองค์กรในทางปฏิบัติมักจะพิจารณาพฤติกรรมของคนด้วยกัน 3 ลักษณะ คือ (1) ศึกษาพฤติกรรมของคนแต่ละคน (2)
พฤติกรรมของกลุ่ม และ (3) พฤติกรรมของผู้นำทั้งนี้
เพื่อให้ทราบถึงปัจจัยพื้นฐานทางจิตวิทยาต่าง ๆ ที่มีผลต่อพฤติกรรมของคน
คือ ความสามารถ ความถนัด ความคาดหมาย
ความเข้าใจ การรับรู้ ทัศนคติ
ค่านิยม
ผลกระทบของกลุ่มที่มีต่อพฤติกรรมของคนตลอดจนประสิทธิภาพของผู้นำการชักจูงพฤติกรรม
สร้างทีมงานที่ดีให้เกิดขึ้นในองค์กร การใช้หลักการทางจิตวิทยาจึงมีความสัมพันธ์กับองค์กรทุกองค์กร
3. ปัญหาของจิตวิทยาการจัดองค์กรอุตสาหกรรม
จิตวิทยาเกี่ยวข้องโดยตรงกับอุตสาหกรรมเพราะจิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์ในงานอุตสาหกรรม
จะประกอบไปด้วยคนจำนวนมากร่วมกันทำงาน แต่ละบุคคลมีพฤติกรรมเฉพาะอย่างของแต่ละคน
การร่วมกันทำงานที่มีคนเป็นจำนวนมากก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง การกระทบกระทั่งกันเป็นผลทำให้การทำงานติดขัดและอาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้
ความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์อย่างถูกต้องและการจัดการอย่างจริงจัง
จะทำให้ปัญหาดังกล่าวลดลง
การทำงานจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น คนมีความสุขมากขึ้น
วิชาจิตวิทยาจึงมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาในโรงงานอุตสาหกรรมได้หลายประเด็น คือ
1) นักจิตวิทยามีเครื่องมือในการคัดเลือกคนที่เหมาะสมเข้าทำงานตามความถนัด
ซึ่งในโรงงานใดถ้าได้คนที่มีความพร้อม
มีความถนัดในเรื่องงานนั้น ๆ
ก็ไม่ต้องเสียเวลาฝึกหัดและถ้าคนได้ทำงานตามความถนัดของตนย่อมเกิดความพึงพอใจและจะพยายามทำงานให้ดีที่สุด ปัญหาความพึงพอใจในงานมีองค์ประกอบมากมาย
และความพึงพอใจของคนงานแต่ละคนแตกต่างกัน
หากคนงานไม่พึงพอใจในการทำงานจะส่งผลกระทบต่อองค์การนักจิตวิทยา จึงต้องสังเกตและวัดความรู้สึกไม่พึงพอใจในการทำงานและหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดปัญหาความขัดแย้ง การกระทบกระทั่งกัน เป็นผลทำให้การทำงานติดขัดและอาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้
ความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์อย่างถูกต้องและการจัดการอย่างจริงจัง จะทำให้ปัญหาดังกล่าวลดลง การทำงานจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น คนมีความสุขมากขึ้น
วิชาจิตวิทยามีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาในโรงงานอุตสาหกรรมได้หลายประเด็น คือ
2) เนื่องจากนักจิตวิทยามีเครื่องมือตามที่กล่าวข้างต้น
ปัญหาการจัดหาคนให้เหมาะสมกับงาน การคัดเลือกคนให้เหมาะสมกับงาน
ต้องวิเคราะห์งานและวิเคราะห์คน
เพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถตรงตามที่องค์กรต้องการ
จึงต้องให้คำปรึกษาการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งบุคลากรให้เหมาะสมตามความสามารถได้
3) นักจิตวิทยาสามารถช่วยเหลือปัญหาทางสุขภาพจิต ความเครียดในการทำงาน ความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ นักจิตวิทยาต้องตรวจสอบวัดมาตรฐาน
และกำจัดหรือลดให้เหลือน้อยที่สุดด้วยการสำรวจสุขภาพจิตของพนักงาน
การให้คำปรึกษาสามารถลดความเครียดทางจิตได้ นักจิตวิทยาสามารถช่วยในการจัดโปรแกรมเพื่อลดความเครียดของพนักงานและป้องกันปัญหาความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าใช้จิตวิทยาในการทำงานได้อย่างสร้างสรร
จะมีระบบการสื่อสารที่ดีต่อกัน เข้าใจการทำงานร่วมกัน เข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น
มีหลักในการบริหารสามารถใช้ความรู้ในการจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้นซึ่งเป็นการลดปัญหาในการทำงานให้น้อยลง
4) ปัญหาการเพิ่มผลผลิต
ซึ่งนักจิตวิทยาต้องเข้าไปศึกษาปัญหาว่าจะทำอย่างไรให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นและคนงานมีความสุขในการทำงาน
การใช้หลักจิตวิทยาที่ถูกต้องในหน่วยงาน/องค์กร
จะช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ทุกคนทำงานอย่างมีความสุข
จิตวิทยาจึงเปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่นที่จะทำให้การทำงานในองค์การมีประสิทธิผลสูงสุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น